พื้นอีพ็อกซี่ นวัตกรรมพื้นผิวที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและความทนทาน

ในยุคที่การตกแต่งอาคารและสถานที่ต่าง ๆ ให้ความสำคัญทั้งด้านความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย พื้นอีพ็อกซี่ (Epoxy Flooring) ได้กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งด้านความแข็งแรงทนทาน ความสวยงาม และการดูแลรักษาที่ง่าย ทำให้พื้นอีพ็อกซี่เป็นที่ต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ไปจนถึงบ้านพักอาศัย

ความเป็นมาของพื้นอีพ็อกซี่
อีพ็อกซี่เป็นวัสดุสังเคราะห์ประเภทเทอร์โมเซตติ้งพลาสติก (Thermosetting Plastic) ที่ถูกค้นพบในช่วงต้นทศวรรษ 1930 โดยนักเคมีชาวสวิส Paul Schlack แต่เริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านความแข็งแรง การยึดเกาะที่ดี และความทนทานต่อสารเคมี

ในช่วงแรก อีพ็อกซี่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินและยานยนต์ ก่อนที่จะขยายการใช้งานมาสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและการตกแต่งภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำพื้นผิว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากคุณสมบัติที่เหนือกว่าวัสดุปูพื้นแบบดั้งเดิม

องค์ประกอบของพื้นอีพ็อกซี่
พื้นอีพ็อกซี่ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน ได้แก่
1. เรซิน (Resin): เป็นส่วนประกอบหลักที่ให้คุณสมบัติด้านความแข็งแรงและการยึดเกาะ
2. ฮาร์ดเดนเนอร์ (Hardener): ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เรซินแข็งตัว

เมื่อนำส่วนประกอบทั้งสองมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่า “การบ่ม” (Curing) ทำให้วัสดุแข็งตัวและมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังสามารถเติมสารเติมแต่ง (Additives) ต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติเฉพาะ เช่น สี ความทนทานต่อรังสี UV หรือคุณสมบัติการต้านทานการลื่น

ขั้นตอนการติดตั้งพื้นอีพ็อกซี่
การติดตั้งพื้นอีพ็อกซี่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความละเอียดรอบคอบ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
1. การเตรียมพื้นผิว: เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ต้องทำความสะอาดพื้นผิวให้ปราศจากฝุ่น คราบน้ำมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ รวมถึงการซ่อมแซมรอยแตกหรือความเสียหายของพื้นเดิม
2. การทาไพรเมอร์: เพื่อเพิ่มการยึดเกาะระหว่างพื้นเดิมกับชั้นอีพ็อกซี่
3. การผสมอีพ็อกซี่: ผสมเรซินและฮาร์ดเดนเนอร์ตามอัตราส่วนที่กำหนด
4. การเทและกระจายอีพ็อกซี่: เทส่วนผสมลงบนพื้นและใช้เครื่องมือเฉพาะในการกระจายให้ทั่วและสม่ำเสมอ
5. การตกแต่งผิว: อาจมีการโรยชิปสี หรือสร้างลวดลายตามต้องการ
6. การบ่ม: ทิ้งไว้ให้แห้งและแข็งตัวตามระยะเวลาที่กำหนด
7. การเคลือบผิวขั้นสุดท้าย: อาจมีการเคลือบทับด้วยชั้นเคลือบใสเพื่อเพิ่มความเงางามและความทนทาน

ประเภทของพื้นอีพ็อกซี่
พื้นอีพ็อกซี่มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ได้แก่
1. พื้นอีพ็อกซี่แบบบาง (Thin-film Epoxy Flooring): เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการสัญจรเบาถึงปานกลาง เช่น สำนักงาน โรงพยาบาล
2. พื้นอีพ็อกซี่แบบหนา (Self-leveling Epoxy Flooring): เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความเรียบและทนทานสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า
3. พื้นอีพ็อกซี่ผสมควอตซ์ (Quartz-filled Epoxy Flooring): มีคุณสมบัติต้านทานการลื่น เหมาะสำหรับพื้นที่เปียกหรือมีน้ำมัน
4. พื้นอีพ็อกซี่แบบตกแต่ง (Decorative Epoxy Flooring): เน้นความสวยงาม สามารถสร้างลวดลายหรือภาพ 3 มิติได้
5. พื้นอีพ็อกซี่ทนความร้อน (Heat-resistant Epoxy Flooring): เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องสัมผัสกับอุณหภูมิสูง

ข้อดีของพื้นอีพ็อกซี่
1. ความแข็งแรงทนทาน: ทนต่อการขูดขีด กระแทก และการสึกหรอได้ดี
2. ทนต่อสารเคมี: สามารถทนต่อสารเคมีหลายชนิดได้ดี
3. กันน้ำและความชื้น: ป้องกันการซึมผ่านของน้ำและความชื้นได้ดี
4. ง่ายต่อการทำความสะอาด: พื้นผิวเรียบทำให้ทำความสะอาดได้ง่าย
5. สวยงาม: สามารถสร้างสรรค์ลวดลายและสีสันได้หลากหลาย
6. อายุการใช้งานยาวนาน: หากดูแลรักษาอย่างถูกต้อง สามารถใช้งานได้นานหลายปี
7. ปลอดภัยต่อสุขภาพ: เมื่อแห้งสนิทแล้ว ไม่ปล่อยสารระเหยที่เป็นอันตราย
8. ติดตั้งได้รวดเร็ว: ใช้เวลาในการติดตั้งน้อยกว่าวัสดุปูพื้นประเภทอื่น ๆ

ข้อควรพิจารณาในการใช้พื้นอีพ็อกซี่
แม้ว่าพื้นอีพ็อกซี่จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรพิจารณาบางประการ ได้แก่
1. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งค่อนข้างสูง: แม้จะคุ้มค่าในระยะยาว แต่ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอาจสูงกว่าวัสดุปูพื้นทั่วไป
2. ต้องการการเตรียมพื้นผิวอย่างดี: หากพื้นเดิมไม่ได้รับการเตรียมอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาการยึดเกาะ
3. อาจเกิดการลื่นในสภาพเปียก: พื้นผิวที่เรียบมันอาจทำให้เกิดการลื่นได้ หากไม่ได้เพิ่มคุณสมบัติกันลื่น
4. การซ่อมแซมอาจทำได้ยาก: หากเกิดความเสียหาย อาจต้องซ่อมแซมเป็นพื้นที่ใหญ่เพื่อให้สีและพื้นผิวกลมกลืนกัน
5. อาจเกิดฟองอากาศหรือรอยต่อ: หากติดตั้งไม่ถูกวิธี อาจเกิดปัญหาฟองอากาศหรือรอยต่อที่ไม่สวยงาม

การดูแลรักษาพื้นอีพ็อกซี่
เพื่อให้พื้นอีพ็อกซี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและคงความสวยงาม ควรปฏิบัติดังนี้
1. ทำความสะอาดเป็นประจำ: กวาดและถูพื้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดอ่อน ๆ
2. เช็ดคราบสกปรกทันที: ไม่ปล่อยให้คราบน้ำมัน สารเคมี หรือของเหลวอื่น ๆ ทิ้งไว้บนพื้นเป็นเวลานาน
3. หลีกเลี่ยงการขูดขีด: ใช้แผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์เพื่อป้องกันการขูดขีด
4. ไม่ใช้สารทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน: หลีกเลี่ยงการใช้สารทำความสะอาดที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างสูง
5. ตรวจสอบและซ่อมแซมความเสียหายเล็กน้อยทันที: เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายลุกลามเป็นวงกว้าง

ปัญหาพื้นร่อนเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในการเคลือบพื้นอีพ็อกซี่

ปัญหาพื้นร่อนเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในการเคลือบพื้นอีพ็อกซี่ อาจเกิดจากหลายๆสาเหตุ ซึ่งบางครั้งเราอาจเลือกใช้อีพ็อกซี่คุณภาพสูง แต่ก็ยังเกิดหลุดร่อนขึ้นได้ ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้เกิดการหลุดร่อนที่เราพบอยู่มักเกิดจากขั้นตอนของการเตรียมพื้นผิวที่ไม่ดีพอ ซึ่งการเตรียมพื้นผิวเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการเคลือบพื้นอีพ็อกซี่ เพราะหากเตรียมพื้นผิวได้ไม่ดีอาจทำให้พื้นหลุดร่อนได้ง่าย หรือการใช้งานมีระยะเวลาสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น

การที่พื้นผิวหลุดร่อนนั้นอาจมาจากความผิดพลาดของช่างเองที่เตรียมพื้นผิวได้ไม่ดีพอ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนี้เพราะการติดตั้งสีพื้นอีพ็อกซี่นั้นแต่ละบริษัทมีขั้นตอนการติดตั้งที่ไม่เหมือนกัน ในการลดความผิดพลาดนั้นเราต้องทราบขบวนการหรืออาจเลือกช่างที่ชำนาญและมีประสบการณ์ในการติดตั้งจริงๆ เพื่อลดปัญหาพื้นหลุดร่อนที่จะตามมา รวมถึงต้องมีความรู้เบื้องต้นในการวิเคราะห์หรือตรวจสอบพื้น ซึ่งเราได้รวบรวมการวิเคราะห์พื้นได้ดังนี้

1. ตรวจสอบพื้นผิวคอนกรีตเบื้องต้น เพื่อให้ทราบว่าพื้นคอนกรีตก่อนที่จะติดตั้งพื้นอีพ็อกซี่นั้นเป็นอย่างไร เช่น พื้นคอนกรีตมีการผุกร่อนหรือไม่ เป็นปูนเก่าหรือปูนใหม่ มีความแข็งแรงหรือไม่ มีการเคลือบพื้นเดิมไว้อยู่หรือเปล่า หากคอนกรีตมีความเสียหายให้ทำการซ่อมพื้นคอนกรีตก่อน และหากพื้นเดิมมีการเคลือบอีพ็อกซี่อยู่แล้ว ให้ดูว่าหลุดร่อนบ้างหรือไม่ หากหลุดร่อนให้ทำการรื้อและปรับซ่อมให้เรียบร้อยก่อนการลงเคลือบครั้งใหม่

2. ตรวจสอบความชื้นของพื้นผิวคอนกรีต ทั้งนี้หากพื้นคอนกรีตมีความชื้นเมื่อลงเคลือบพื้นอีพ็อกซี่ไปแล้วจะทำให้พื้นอีพ็อกซี่บวมและแตกหลุดร่อนได้ ดังนั้นควรมีการวัดระดับความชื้นด้วยเครื่องวัดความชื้นของพื้นคอนกรีตก่อนเสมอ หรือหากไม่มีเครื่องมือในการวัดระดับความชื้น อาจใช้พลาสติกคลุมและปิดขอบให้สนิทด้วยกระดาษกาวและทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงหากพื้นปูนเปียกหรือมีหยดน้ำแสดงว่าพื้นมีความชื้น และถ้าพื้นมีความชื้นสูงมากเกินค่าที่กำหนดควรมีการลงเคลือบตัวบล็อกความชื้น (Moisture Barrier) ก่อนเพื่อป้องกันการดันของความชื้นใต้ผิวคอนกรีต

3. อีกสาเหตุหนึ่งที่อาจผิดพลาดในขั้นตอนการเตรียมผิวคือสิ่งแปลกปลอมบนพื้นผิวก่อนลงเคลือบอีพ็อกซี่ ซึ่งก่อนการลงเคลือบอีพ็อกซี่ทุกครั้งต้องมีการทำความสะอาดพื้นผิวให้สะอาดปราศจากสิ่งแปลกปลอมบนพื้นผิว อาทิ ฝุ่นละออง คราบน้ำมัน จารบี กาว ฯลฯ ดังนั้นควรใส่ใจเป็นอย่างมากในการทำความสะอาด เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

4. การขัดผิวคอนกรีตก่อนการลงเคลือบรองพื้นอีพ็อกซี่ (Primer) ทั้งนี้ควรมีการขัดเปิดหน้าผิวคอนกรีตก่อนการลงเคลือบอีพ็อกซี่ในชั้นแรกเพื่อให้เห็นรูพรุนและช่วยให้เกิดการยึดเกาะที่ดีป้องกันการหลุดร่อนได้อีกวิธีหนึ่ง